Drive your business

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันเสาร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2557

ปรับกลยุทธ์ทางความคิด เรียนรู้และขัดเกลาจิต

ปรับกลยุทธ์ทางความคิด เรียนรู้และขัดเกลาจิต by Korpai
เดี๋ยวนี้ประเด็นข่าวทางการเมืองช่างร้อนแรง และเป็นที่น่าจับตาอย่างมากในสังคมไทย
การชนะศึกสงคราม (ทางด้านความคิด) ทางการเมืองก็มีการอ้างอิงวงศ์ตระกูลเพื่อที่จะชนะศึกกันเลยทีเดียว บ้านเมืองเราสมัยนี้จึงชักจะไปกันใหญ่ ที่หยิบโยงทุก ๆ เรื่องเข้ามาเกี่ยวข้องกันอย่างไม่มีเหตุมีผล ฉะนั้น การแสดงออกซึ่งความคิดเห็น ถึงแม้จะเป็นเหตุผลส่วนตัวก็ตาม อาจต้องระมัดระวังและคำนึงถึงหลักที่เรายึดเหนี่ยว และคาดการณ์เผื่อถึงอนาคต ที่ความคิดเห็นส่วนตนนั้น อาจสร้างความกระทบกระเทือนถึงบุคคลอื่น ๆ ทั้งที่ใกล้ชิด และที่อยู่แวดล้อมอีกด้วย
ด้วยปัจจุบัน ความเชื่อมโยงทั้งความคิดเห็น การกระทำ คำพูด และสิ่งต่าง ๆ ถูกนำมาเกี่ยวคล้องกันหมด ด้วยคำว่า “ชอบ” หรือ “ไม่ชอบ” “สีเดียวกัน” หรือ “ไม่ใช่สีเดียวกัน” และไม่อาจแยกแยะได้ว่า “เรื่องใดเกี่ยวข้อง” หรือ “เรื่องใดไม่เกี่ยวข้อง” ได้อีกต่อไป และที่สำคัญรากเหง้าแห่งแห่งความดีงามทางประวัติศาสตร์ที่สะสมกันมาเป็นระยะเวลานาน อาจต้องหม่นหมองไปเพราะเข้ามาเชื่อมโยงกับความคิดและการกระทำที่เกี่ยวข้องกับการแสดงออกทางการเมือง สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้นับว่าเป็นประสบการณ์ที่หลายคน อาจต้องมานั่งทบทวน และตั้งสติกันให้รอบคอบ เนื่องจากผลของการกระทำสามารถบั่นทอนกันและกันได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
                จะว่าไปแล้ว เปรียบเสมือน การปลุกระดมชนวนรอยร้าวทางประวัติศาสตร์ด้วยความต้องการที่จะชนะศึก และแซะรอยช้ำระหว่างกันที่มีมาเนิ่นนานให้ขยายใหญ่ขึ้น เฉกเช่นเดียวกับ “รอยประวัติศาสตร์สมัยสงครามโลกที่ผู้คนต้องล้มหายตายจาก หากคิดที่จะหยิบยกขึ้นมาพูดกันเมื่อไหร่ก็ไม่มีทางสานสัมพันธ์กันต่อไปได้” นับเป็นกลยุทธ์ ที่ทำไปเพื่อต้องการเอาชนะ หากปรับความคิดนี้เสียใหม่ เราอาจเห็นทั้งมิตรภาพและศัตรู ที่คู่นี้อาจเดินเข้ามาหาเราพร้อมกัน
                การดำเนินต่อไปด้วยมิตร สำหรับนักการทูตหรือมนุษย์ธรรมดา  จึงควรหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงรอยร้าว และกล่าวถึงมิตรภาพที่จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีที่เราทำได้ในปัจจุบันให้ดำเนินต่อไปได้
การยับยั้งความคิด จากการได้ฟัง ได้เห็น หรือถูกปลุกระดมด้วยอารมณ์ ด้วยช่องทางต่าง ๆ ซึ่งมนุษย์ทุกคนสามารถตระหนักไว้ว่า เรามีสติสัมปะชัญญะเพียงพอ ที่จะไม่เบียดเบียนบุคคลอื่น
                การเบียดเบียนทั้งหลายนี้ ด้วยความเป็นชาวพุทธ อาจต้องกลับมาทบทวนดูสติกันให้มากขึ้น ด้วยหลักศีลห้าที่เป็นพื้นฐาน ก่อนที่จะถามหาเรื่องความมีจริยธรรม ศีลข้อแรก ที่จะไม่เบียดเบียนกันและกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำร้ายร่างกายให้เกิดบาดแผล สูญเสียเลือดเนื้อ ชีวิตเพื่อให้มนุษย์เรามีหลักในการเดิน และหลักสำหรับการสร้างบุญกุศล
                ถึงแม้สถานการณ์โลกจะเจริญก้าวหน้าและเปลี่ยนแปลงไปมากเท่าใด แต่การศึกษาค้นคว้า และเรียนรู้เพื่อที่จะขัดเกลาจิตใจมนุษย์นั้นหากยังมีน้อย และดูมีแนวโน้มถดถอย การเบียดเบียนของคนในสังคม ก็จะทวีความรุนแรงมากขึ้น
สังคมในปัจจุบัน จึงควรแสวงหาทางเลือกที่จะขัดเกลาจิตใจ ซึ่งสิ่งนี้ย่อมเป็นทางเลือกทั้งในระดับบุคคล และระดับสังคม โดยเฉพาะระดับบุคคล ที่เราเองก็ไม่สามารถบอกให้กับผู้อื่นทำได้ ฉันใดก็ฉันนั้น หากต้องการยกระดับทางด้านความคิด ก็พึงศึกษาเรียนรู้ให้กระจ่างชัด เพื่อที่จะไม่หลงไปยังพื้นที่ของการโน้มน้าวชักจูง หรือกิเลสที่ทำให้เราสติหลุด และประพฤติพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เหมือนกับคนไร้สติได้
                หากมองไปโดยรอบผู้คนที่อยู่แวดล้อม ถึงแม้จะไม่ใช่คนพื้นที่เดียวกัน ไม่รู้จักกัน แต่ด้วยความคิดที่ดีเราก็ควรสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน และนั่น ย่อมเป็นก้าวแรกของการอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข “มุมมองของการเปิดประตูบ้านต้อนรับผู้อื่นด้วยมิตรไมตรี ลดการแบ่งแยกทางสังคมหรือชนชั้น ลดการดูถูกเหยียดหยาม จึงเป็นอะไรที่สามารถช่วยยกระดับจิตใจของมนุษย์เราให้ดียิ่งขึ้น”
                กว้างไปกว่านั้น สำหรับสังคมโลกที่สื่อสารกันได้เหมือนกับอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน เราเคยเห็นถึงสถานการณ์ที่น่าใจหาย ผู้คนบาดเจ็บ ล้มตาย ภัยธรรมชาติ ฯลฯ ที่อนาคตจะต้องรับมือร่วมกันอีกมากมาย
                ที่สำคัญระบบการบริหารจัดการบ้านเมืองของทั่วโลก ก็มีรูปแบบการเมืองและการปกครองที่แตกต่างกันไป ร่องรอยทางประวัติศาสตร์ ความรู้จากการศึกษารูปแบบทางด้านการเมืองการปกครองด้วยข้อมูลการสืบค้นก็จะช่วยให้ผู้ที่ศึกษาเองมีข้อมูลและความรู้เพิ่มเติมมากยิ่งขึ้น อย่างน้อย สิ่งต่าง ๆ ที่ดูไร้เหตุผล ก็จะสามารถยุติลงได้โดยง่าย
                ภาพรวมประเทศที่มีลักษณะการเมืองการปกครองที่มีลักษณะการบริหารงานโดยรัฐบาลที่ใกล้เคียงกัน (ดูจากภาพประกอบ)

ต่าง ๆ เหล่านี้ มีแหล่งที่มาและที่ไป ที่ผู้ศึกษาเองสามารถนำมาเป็นข้อมูลเพิ่มเติมความรู้ ศึกษา และสืบค้นได้จากในระบบออนไลน์ และแหล่งความรู้ต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง ทำให้เกิดกระบวนการคัดกรองทางด้านความคิด เหตุผลในเชิงวิเคราะห์ กับรูปแบบสถานการณ์เป็นกรณีศึกษา ซึ่งต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนเป็นแหล่งความรู้ด้วยกันทั้งสิ้น
เรื่องหลายเรื่องในปัจจุบัน จึงถูกโยงเข้ามาผูกกันไว้เป็นปม หากเราต้องการคลี่คลายสิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเอง เราก็ควรหันมาศึกษาให้ทิศทางของการปลูกต้นไม้แห่งประชาธิปไตย สามารถดำเนินต่อไปได้ ให้ต้นไม้ต้นนี้ได้ผลิดอกออกผล มีความสง่างามและน่าเกรงขามต่อไป


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น